เมนู

ผู้พร้อมเพรียงด้วยมรรคแม้ทั้งหมด ชื่อว่า เป็นผู้
มีกัปตั้งอยู่แล้ว1
ดังนี้.
นี้เป็นญาณอันสัมปยุตด้วยอานันตริกสมาธินั้น.

33. อรรถกถาอรณวิหารญาณุทเทส


ว่าด้วย อรณวิหารญาณ


ญาณทั้ง 4 มี อรณวิหารญาณเป็นต้น ท่านยกขึ้นแสดงใน
ลำดับแห่งญาณนี้ เพราะเกิดแก่พระอริยะทั้งหลายผู้บรรลุอริยผลด้วย
มรรคญาณนี้เท่านั้น. ก็ในญาณทั้ง 4 แม้นั้น ท่านยกอรณวิหารญาณ
ขึ้นแสดงก่อน เพราะเกิดติดต่อกันไปแก่พระอรหันต์นั่นแล, และต่อ
แต่นั้น ท่านก็ยกนิโรธสมาปัตติญาณขึ้นแสดง เพราะนิโรธสมาบัติ
นั้นเป็นธรรมมีสัมภาระมาก แม้ในเมื่อเกิดแก่พระอนาคามีและพระ-
อรหันต์ และเพราะนิโรธสมาบัติเป็นธรรมอันท่านสมมุติว่าเป็นนิพพาน
โดยพิเศษ ต่อจากนั้น ท่านก็ยกปรินิพพานญาณขึ้นแสดงว่า ทีฆ-
กาลิกะ - มีกาลนาน เพราะตั้งอยู่จดกาลเป็นที่ปรินิพพานในระหว่าง
กาลปรินิพพาน, ในลำดับต่อจากนั้นท่านก็ยกสมสีสัฏฐฌาณ ขึ้นแสดง
ว่า รัสสกาลิกะ - มีกาลสั้น เพราะตั้งอยู่จดกาลเป็นที่ปรินิพพาน
ในลำดับแห่งการสิ้นกิเลสทั้งปวงของพระอรหันต์ผู้สมสีสะ.
1. อภิ. ปุ. 36/33.

บรรดาคำเหล่านั้น อักษรในคำว่า สนฺโต จ พึงแปล
ควบเข้ากับบทแม้ทั้ง 3 ดังนี้คือ ทสฺสนาธิปเตยฺยํ จ, สนฺโต
วิหาราคโม จ, ปณีตาธิมุตฺตตา จ.
(พึงทราบอธิบายดังต่อไปนี้)
คำว่า ทสฺสนํ - การเห็น ได้แก่ วิปัสสนาญาณ, ความเป็น
ใหญ่นั่นแหละ ชื่อว่า อาธิปเตยยะความเป็นแห่งความเป็นใหญ่, อีก
อย่างหนึ่ง เพราะบรรลุถึงโดยอธิปติ จึงชื่อว่า อาธิปเตยฺยํ - ความ
เป็นแห่งความเป็นใหญ่
, ทัสนะคือวิปัสสนาญาณนั้นด้วย เป็น
อาธิปเตยยะด้วย ฉะนั้น จึงชื่อว่า ทัสนาธิปเตยยะ - วิปัสสนาญาณ
เป็นอธิปติ.1

ธรรมใดย่อมอยู่ ฉะนั้นธรรมนั้น ชื่อว่า วิหาระ, หรือว่า
พระโยคีบุคคลย่อมอยู่ด้วยธรรมนั้น ฉะนั้น ธรรมนั้นชื่อว่าวิหาระ เป็น
เครื่องอยู่ของพระโยคีบุคคล, ธรรมใดอันพระโยคีบุคคลย่อมถึงทับ คือ
ย่อมบรรลุ ฉะนั้น ธรรมนั้นชื่อว่า อธิคมะ - ธรรมอันพระโยคีบุคคล
บรรลุ, วิหารธรรมนั่นแหละเป็นองค์คุณที่บรรลุ ฉะนั้น จึงชื่อว่า
วิหาราธิคมะ - วิหารธรรมที่บรรลุ.
ก็วิหาราธิคมนั้น เป็นนิพพุตะดับสนิทเพราะเว้นจากการเบียด
เบียนของกิเลส ฉะนั้น จึงชื่อว่า สันตะ - สงบ. ก็สันตะนั้นคือ
อรหัตผลสมาปัตติปัญญา.
1. วิมังสาธิปติ.

เพราะอรรถว่าสูงสุดและเพราะอรรถว่าไม่ทำให้เร่าร้อน จึงชื่อ
ว่า ปณีตะ, อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปณีตะ - เพราะนำไปสู่ความเป็น
ประธาน, การมีใจน้อมไป คือมีจิตส่งไปแล้วในปณีตะมีผลสมาบัตินั้น
เป็นอย่างยิ่ง ชื่อว่า ปณีตาธิมุตตะ - น้อมใจไปในผลสมาบัติ, ความ
เป็นแห่งการน้อมใจไปในผลสมาบัตินั้น ชื่อว่า ปณีตาธิมุตตตา - ความ
น้อมใจไปในผลสมาบัติอันประณีต. ก็ปณีตาธิมุตตตานั้น เป็นบุรพภาค
ปัญญามีอันน้อมใจไปในผลสมาบัติแล.
คำว่า อรณวิหาเร - ในวิหารธรรมอันไม่มีกิเลสเป็นข้าศึก
ได้แก่ วิหารธรรมมีกิเลสไปปราศแล้ว. จริงอยู่กิเลสทั้งหลายมีราคะ
เป็นต้น ย่อมรุกราน บดขยี้ เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ฉะนั้น ราคาทิ-
กิเลสนั้น จึงชื่อว่า รณา ผู้เบียดเบียน, อีกอย่างหนึ่ง สัตว์ทั้งหลาย
ย่อมร้องไห้คร่ำครวญร่ำไรด้วยราคาที่กิเลสเหล่านั้น ฉะนั้น ราคาทิ-
กิเลสเหล่านั้น จึงชื่อว่า รณา - กิเลสเป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้คร่ำครวญ,
วิหารธรรมแม้ทั้ง 3 อย่าง ท่านได้กล่าวไว้แล้ว, รณะคือกิเลสเป็นเหตุให้
สัตว์ร้องไห้คร่ำครวญไม่มีแก่ธรรมนี้ ฉะนั้น ธรรมนี้ จึงชื่อว่า อรณะ,
พระอริยบุคคลย่อมนำธรรมอันเป็นข้าศึกออกได้ด้วยธรรมนั้น ฉะนั้น
ธรรมนั้น จึงชื่อว่า วิหาระ นำธรรมที่เป็นข้าศึกออก. อรณธรรม
นั้น ก็ชื่อว่าวิหารธรรม.

ในนิทเทสวาระ1 ปฐมฌานเป็นต้น ท่านสงเคราะห์ไว้ในปณีตา-
ธิมุตตตาเหมือนกัน. ก็เพราะประสงค์จะเข้าผลสมาบัติ จึงเข้าฌานมี
ปฐมฌานเป็นต้นออกแล้ว เห็นแจ้งธรรมที่สัมปยุตกับฌาน, ก็อรณ-
ปฏิปทาอันใดอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วในอรณวิภังคสูตร,2
อรณปฏิปทาแม้นั้น ก็พึงทราบว่าท่านสงเคราะห์ด้วยข้อนี้แล.
จริงอย่างนั้น ในอรณวิภังคสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจะแสดงธรรม
ชื่ออรณวิภังค์แต่เธอทั้งหลายว่า...ไม่พึงประกอบ
เนือง ๆ ซึ่งสุขอาศัยกาม อันเลว เป็นของชาว
บ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่
ประกอบด้วยประโยชน์ และไม่พึงประกอบเนือง ๆ
ซึ่งความเพียรเครื่องประกอบตนให้ลำบาก อันเป็น
ทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วย
ประโยชน์ ความปฏิบัติปานกลาง ไม่เข้าใกล้ที่
สุด 2 อย่างนี้นั้น อันตถาคตรู้พร้อมด้วยปัญญา
ยิ่งแล้ว เป็นข้อปฏิบัติทำให้มีจักษุ ทำให้มีญาณ
เป็นไป เพื่อเข้าไปสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความ

1. ขุ.ป. 31/216. 2. ม.อุ. 14/654.

ตรัสรู้ เพื่อนิพพานพึงรู้จักการยกย่องและการ
ตำหนิ ครั้นรู้แล้ว ไม่พึงยกย่อง ไม่ฟังตำหนิ
พึงแสดงธรรมเท่านั้น, พึงรู้การตัดสินความสุข
ครั้นรู้แล้ว พึงประกอบเนือง ๆ ซึ่งความสุขภายใน,
ไม่กล่าววาทะที่ลับหลัง ไม่ฟังกล่าวคำล่วงเกินต่อ
หน้า พึงเป็นผู้ไม่รีบด่วนพูด อย่าพูดรีบด่วน ไม่
ฟังปรับปรำภาษาชนบท ไม่พึงล่วงเลยคำพูดสามัญ
เสีย นี้เป็นอุทเทสแห่งอรณวิภังค์...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอรณวิภังค์นั้น
การไม่ตามประกอบความเพียรเนือง ๆ ซึ่ง
โสมนัสของผู้มีความสุขโดยสืบต่อกาม อันเลว
เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระ-
อริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ นี้เป็นธรรมไม่มี
ทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มี
ความเร่าร้อน เป็นสัมมาปฏิปทา. เพราะฉะนั้น
ธรรมนี้ชื่อว่า อรณธรรม1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอรณวิภังค์นั้น
การไม่ตามประกอบความเพียรเครื่องประกอบตน

1. ม.อุ. 14/663.

ให้ลำบาก อันเป็นทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่
ประกอบด้วยประโยชน์ นี้เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ฯลฯ
เพราะฉะนั้น ธรรมนี้ชื่อว่า อรณธรรม1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอรณวิภังค์นั้น
มัชฌิมาปฏิปทานี้ อันพระตถาคตรู้พร้อมยิ่งแล้ว
ฯลฯ เพราะฉะนั้น ธรรมนี้ชื่อว่า อรณธรรม2.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอรณวิภังค์นี้ การ
ไม่ยกย่อง การไม่ตำหนิ การแสดงธรรมเท่านั้น,
นี้เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ฯลฯ เพราะฉะนั้น ธรรมนี้
ชื่อว่า อรณธรรม3.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอรณวิภังค์นั้น
สุขอาศัยเนกขัมมะ สุขเกิดแต่ความสงัด สุขเกิด
แต่ความสงบ สุขเกิดแต่ความตรัสรู้, นี้เป็นธรรม
ไม่มีทุกข์ ฯลฯ เพราะฉะนั้น ธรรมนี้ชื่อว่า
อรรณธรรม4.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอรณวิภังค์นั้น
วาทะหลับหลัง ที่จริง ที่แท้ ประกอบด้วย

1. ม.อุ. 14/664. 2. ม.อุ. 14/664. 3. ม.อุ. 14/666.
4. ม.อุ. 14/667.

ประโยชน์, นี้เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ฯลฯ เพราะ
ฉะนั้น ธรรมนี้ชื่อว่า อรณธรรม1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอรณวิภังค์นั้น
คำกล่าวล่วงเกินต่อหน้า ที่จริง ที่แท้ ประกอบ
ด้วยประโยชน์, นี้เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ฯลฯ
เพราะฉะนั้น ธรรมนี้ชื่อว่า อรณธรรม2.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอรณวิภังค์นั้น
คำที่ไม่รีบด่วนพูด นี้เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ฯลฯ
เพราะฉะนั้น ธรรมนี้ชื่อว่า อรณธรรม3.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอรณวิภังค์นั้น
การไม่ปรับปรำภาษาชนบท และการไม่ล่วงเลย
สามัญภาษา นี้เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ฯลฯ เพราะ
ฉะนั้น ธรรมนี้ชื่อว่า อรณธรรม4.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้น พวก
เธอพึงศึกษาอย่างนี้แลว่า เราทั้งหลายจักรู้ธรรม

1. ม.อุ. 14/668. 2. ม.อุ. 14/669. 3. ม.อุ. 14/670.
4. ม.อุ. 14/672.

ชื่อว่าสรณะ1 และรู้ธรรมชื่อว่าอรณะ2 ครั้นรู้แล้ว
จักปฏิบัติ อรณปฏิปทา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก็แล กุลบุตรชื่อ สุภูติ เป็นผู้ปฏิบัติแล้ว ซึ่ง
อรณปฏิปทา3
ดังนี้.
ในอรณวิภังคสูตรนั้น มัชฌิมาปฏิปทาท่านสงเคราะห์ด้วย
ทัสนาธิปเตยยะ พระนิพพาน และวิหารธิคมะ.
การไม่ประกอบกามสุขัลลิกานุโยคและอัตกิลมถามุโยค เป็น
มัชฌิมาปฏิปทาแท้เทียว. จริงอยู่ สำหรับพระอรหันต์ บุรพภาคแห่ง
วิปัสสนาเป็นมัชฌิมาปฏิปทา และอรหัตผลสมาบัติก็เป็นมัชฌิมาปฏิปทา
ด้วยสามารถแห่งมรรคมีองค์ 8. ส่วนปฏิปทาที่เหลือ พึงทราบว่า
สงเคราะห์ด้วย ปณีตาธิมุตตตานั่นแล.
พระอรหันต์ทั้งปวงเป็นผู้อยู่ด้วยอรณธรรมก็จริง, ถึงอย่างนั้น
พระอรหันต์เหล่าอื่นเมื่อจะแสดงธรรม ก็ย่อมแสดงธรรมยกย่องและ
ข่มด้วยสามารถแห่งบุคคลว่า กุลบุตรเหล่านี้ ปฏิบัติชอบในสัมมา
ปฏิบัติ และ กุลบุตรเหล่านี้ ปฏิบัติผิดในมิจฉาปฏิบัติ, แต่พระสุภูติ-
เถระแสดงธรรมด้วยสามารถแห่งธรรมเท่านั้นว่า นี้ เป็นมิจฉาปฏิบัติ,
นี้เป็นสัมมาปฏิบัติ. เพราะเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรง
1. สรณะ ธรรมมีกิเลสเป็นเหตุยังสัตว์ให้ร้องไห้
2. อรณะ ธรรมไม่มีกิเลสเป็นเหตุยังสัตว์ให้ร้องไห้. 3. ม.อุ. 14/672.

สรรเสริญว่า พระสุภูติเถระเป็นผู้ปฏิบัติอรณปฏิปทานั้นนั่นแล, ทรง
ตั้งไว้ในฐานะอันเลิศแห่งภิกษุทั้งหลายผู้อรณวิหารีว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย พระสุภูติ เลิศกว่าภิกษุสาวกของเราผู้มีปกติอยู่ด้วย
อรณธรรม
ฉะนี้แล.

34. อรรถกถานิโรธสมาปัตติญาณุทเทส


ว่าด้วย นิโรธสมาปัตติญาณ


คำว่า ทฺวีหิ พเลหิ - ด้วยพละ 2 ความว่า ด้วยสมถพละ
และวิปัสสนาพละ.
คำว่า สมนฺนาคตตฺตา - เพราะประกอบแล้ว ความว่า เพราะ
ประกอบแล้ว หรือเพราะบริบูรณ์แล้ว.
คำว่า ตโย จ - สังขาร 3 เป็นวิภัตติวิปลาส ท่านกล่าวแก้
ไว้ว่า ติณฺณญฺจ แปลว่า 3.
คำว่า สงฺขารานํ - สังขารทั้งหลาย ได้แก่ วจีสังขารกายสังขาร
และจิตสังขาร.
คำว่า ปฏิปฺปสฺสทฺธิยา - เพื่อระงับ ความว่า เพื่อความสงบ
คือ เพื่อดับ, อธิบายว่า เพื่อไม่เป็นไป.